วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2550

re-tell-4 : D-Day ของ ซากุระห้ากลีบ

สวัสดีครับ ทุกคน หลังจากที่ผมได้เริ่มเขียน Blog ได้ไม่นาน ก็พบว่ามีบทความที่น่าสนใจมากมาย จึงอยากนำมาฝากเพื่อนๆ ซึ่งจะต่างกับการแนะนำ เว็บไซต์ หรือเว็บบล๊อกดีๆ ใน Web Blog Guide Station นะครับ เพราะเป็นการนำเฉพาะบทความ หรือบางส่วนของเว็บไซต์มาเท่านั้น และผมจะอ้างถึง หน้าเว็บเพจ นั้นๆ ที่ท้ายบทความในส่วน page reference ครับ


........................................................................

D-Day


6 Aug 1945 8.15 am Atomic bomb (uranium isotope U-235)เมื่อหกสิบสองปีก่อน ในระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง วันนี้เป็นวันที่สหรัฐอเมริกาและกลุ่มสัมพันธมิตร ได้วางแผนลับสุดยอด กำหนดให้เป็นวันปล่อยระเบิดปรมาณูหมายเลข 8655 ลงที่เกาะฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น สามวันต่อมา ระเบิดลงที่นางาซากิ แต่ในแผนลับที่ได้ถูกเปิดเผยนั้น มีแผนการทิ้งระเบิดลงที่ นีกะตะ (ใกล้ๆโตยาม่า) ด้วย เมื่อวานเปิดทีวีดูเห็นรายการรำลึกเหตุการณ์ ทางช่องเอ็นเอ็ชเค เลยนั่งดูจนจบรายการ ถามว่าดูแล้วรู้สึกอย่างไร ก็ตอบว่ารู้สึกหดหู่ ไม่อยากให้เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นอีก ถามว่าสงสารคนญี่ปุ่นไหม ก็ตอบว่า สาสมกันกับที่เค้าไปทำประเทศอื่นๆไว้ ไม่ว่าจะเป็นเกาหลี จีน ซึ่งเมื่อเทียบระยะเวลาของความทารุณที่เกิดขึ้น มันเทียบกันไม่ได้เลย (ไม่ใช่อกตัญญูไม่รู้คุณ ทุนที่เค้าให้มาเรียนนะ เหอะๆๆ) ประเทศเหล่านั้นโดนญี่ปปุ่นเข้าไปข่มเหง ย่ำยีจนไม่เหลือความเป็นประเทศอยู่เลยนานนับแรมปี จากที่เคยอ่านๆ มา ตั้งแต่เริ่มสงครามปี 1936 ก็ประมาณเกือบสิบปีได้ คนตายไปนับล้านๆ คน แต่ญี่ปุ่นโดนแค่วันเดียว แต่มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว และผลที่เกิดขึ้นมันรุนแรงมากทำให้เหตุการณ์นี้เป็นที่จดจำของชาวอาทิตย์อุทัยไม่ลืมเลือน ประกอบกับคนที่ประสบอยู่ในช่วงเหตุการณ์ดังกล่าว ส่วนหนึ่งยังมีชีวิตและคอยบอกเล่าเรื่องราวความโหดร้ายต่อไปยังรุ่นต่อๆมา



ที่ฮิโรชิมามีซากอาคารปรักหักพังอยู่แห่งหนึ่ง เข้าใจว่าเป็นอาคารของทางการสมัยนั้น เพราะดูใหญ่โต ภูมิฐาน ด้วยสถาปัตยกรรมที่ทันสมัย โอ่อ่า แปลกไปจากโครงสร้างอาคารบ้านเรือนทั่วไปของสมัยนั้น ซากอาคารนี้ถูกทิ้งไว้แบบนั้น อยู่ท่ามกลางใจกลางเมือง สร้างสวนสาธารณะโอบล้อมไว้ ริมแม่น้ำ วัตถุประสงค์เพื่อจัดให้เป็นเหมือนอนุสรณ์สถานแห่งความขมขื่นเพื่อระลึกและเตือนใจถึงความโหดร้ายของเหตุการณ์วันนี้เมื่อหกสิบปีก่อน รายการเมื่อคืนนี้ได้ใช้สถานที่นี้เป็นสถานที่ถ่ายทำและดำเนินรายการตลอดจนจบ มีละครจำลองเหตุการณ์ต่างๆ สลับฉากกับการสัมภาษณ์ผู้สูงอายุที่อยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าว การเล่าประสบการณ์ในวันนั้น และสลับฉากกับการดำเนินรายการของสองพิธีกรต่างวัย วัยรุ่นสาวสวย และพิธีกรภูมิฐานมากประสบการณ์ด้วยวัยวุฒิ เข้าใจว่าพิธีกรสาวท่านนั้นมีภูมิลำเนามาจากเมืองฮิโรชิมาเช่นกัน เพราะมีการเสนอเบื้องหลังการกลับไปเยี่ยมบ้านและสัมภาษณ์มารดาของเธอด้วย อยากชมว่ารายการดำเนินไปได้ดีมาก แม้จะเป็นรายการเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ แต่รู้สึกว่าสองสาม ชม. ที่นั่งดู ไม่รู้สึกเบื่อเลยแถมไม่อยากลุกไปทำอะไรเสียด้วยซ้ำไป เนื่องจากกลัวพลาดช่วงสำคัญ ....แม้จะมีปัจจัยเรื่องภาษาในการชม แต่ไม่ทำให้รู้สึกว่าชมรายการไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย อยากขอบคุณอาจารย์ที่เคยสอนวิชาประวัติศาสตร์สมัย ม.ต้นและ ม.ปลาย ถ้าเอารายการนี้ไปให้เด็กๆ ดูแทนการนั่งอ่านนั่งท่อง คงจะดีไม่น้อย ในรายการช่วงที่ประทับใจที่สุดอีกช่วงคงเป็นละครจำลองเหตุการณ์วันดีเดย์นั้นทำได้กินใจมาก อยากให้เอาละครเรื่องนี้ไปฉายให้ชาวโลกดู (มันเหมือนนั่งดูหนังเรื่องไอดีโฟร์ เพียงแต่มันรู้สึกคล้อยตามมากกว่า เพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงปนโลก) ทั้งโลกจะได้ขยาดกับสงคราม และไม่เข่นฆ่ากันเองอีก (ที่เครื่องบินชนตึกเวิร์ลเทรด หรือเหตุการณ์ภาคใต้บ้านเรา อยากเตือนใจให้พวกเค้ารู้ว่า น้ำผึ้งหยดเดียวก็ทำให้เกิดปัญหาใหญ่ๆ มามากแล้ว ยกตัวอย่างก็การเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่งนั่นประไร)


ละครที่ฉาย จำลองสถานการณ์ของผู้ที่ยังมีชีวิตหลายๆคนที่ได้ประสบกับเหตุการณ์วันนั้นโดยตรง ในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ไม่ว่าจะเป็นพนักงานธนาคารหญิงสองคน หมอ แม่บ้านที่ต้องเสียลูกสาวสองคนไปในเหตุการณ์ เด็กนักเรียนชายแสนซนคนหนึ่ง พนักงานขับรถรางหญิง จะว่าไปคนมาเล่าเรื่องตอนนี้แก่ตัวลงไปมาก แต่บางคนยังคงเค้าความสวยอยู่ แต่เราไม่ยักกะเห็นร่องรอยของเหตุการณ์บนร่างกายของเค้าเลย ความรุนแรงของระเบิดก็คงเคยดูๆ กันมาบ้าง คนที่อยู่ใกล้จุดที่ระเบิดหน่อยก็แบบว่าจะหายไปเลยไม่เห็นซาก ซึ่งรายการนี้ก็ได้ทำเป็นภาพให้ดู (คิดเอาเองว่าคงไปถ่ายทำจริงๆ เองคงไม่ได้) คือว่า มีภาพคนกำลังนั่งอยู่อีกแป๊บก็เป็นหายไปเหลือเพียงแค่ร่องรอยที่พื้นทิ้งไว้ให้รู้ว่าเคยมีการนั่งมาก่อนเมื่อหนึ่งวินาทีที่ผ่านมา คนที่รอดชีวิตได้(คงเป็นคนที่อยู่นอกวิถีระเบิด) ได้เล่าเรื่องการระเบิด ต่างเล่าว่าเห็นแสงสว่างมากจนแสบตาวูบใหญ่จนต้องก้มและเอามือปิดตา ไอร้อนผ่าวจนทนไม่ไหวมาปะทะร่างกาย สิ่งแวดล้อมทุกอย่างร้อนไปหมด จากนั้นก็รู้สึกถึงแรงสะเทือนอย่างมากตามมา ทำให้บ้านเรือนพังทลาย ล้มทับผู้คนที่อยู่นอกวิถีระเบิด



หลังจากการระเบิดที่ได้ทำลายทุกอย่างในวิถีระเบิดพังพินาศ ราบพนาสูญ กลายเป็นกองขี้เถ้าสีดำ อาคารบ้านเรือนหายไปหมด พื้นที่ที่อยู่นอกวิถีระเบิด (หนึ่งถึงสอง กม.) ก็ได้ยินเสียงร้องระงม ซากปรักหักพัง ไฟไหม้ ควันไฟ ในรายการได้สลับภาพวาดที่คนได้อยู่ในเหตุการณ์วาดบรรยายบรรยากาศขณะนั้นเอาไว้ เป็นภาพคนเป็นร้อยเป็นพันนอนกองกันเป็นแพ ตะเกียกตะกายดิ้นรนขอควมช่วยเหลือ เสียงขอน้ำดื่ม เสียงร้องเจ็บปวด และร้อน ประกอบในการเสนอภาพที่วาดด้วยสีขาวดำ ทำให้เห็นบรรยากาศได้ชัดขึ้น ว่ามันคงไหม้เกรียมไปทุกอย่าง ทุกอณู จริงๆฝุ่นควัน หมอก ตลบอบอวล ด้วยกลิ่นซากศพไหม้ แม่ตัวดำเกรียมที่นอนคร่อมลูกน้อยเอาไว้อย่างหวงแหน ภาพเด็กร้องจ้า ตัวดำเขรอะ แม่ให้นมลูกทั้งที่ตัวยังมีบาดแผลโดนไฟไหม้ เลือดเต็มตัว มีเหตุการณ์ซ้ำเติมความขมขื่นอีกระลอกคือไม่นานหลังการระเบิดก็มีฝนตก แม้จะลดความร้อนลงได้ แต่ลองนึกภาพนะเอาเองนะว่า ฝนที่ตกเป็นฝนสีดำ kuroi ame ผู้คนที่กำลังถูกไฟลวกแล้วโดนน้ำตกใส่ คนที่กำลังหิวกระหายร้องขอน้ำ วิ่งเอาแก้วภาชนะมารองน้ำดื่ม แต่น้ำฝนที่ตกมาเป็นสีดำสนิท ดื่มไม่ได้เลย นึกภาพแล้วให้เวทนา (เข้าใจเอาเองตามหลักวิทยาศาสตร์นะคะ ว่าอากาศที่ร้อนจัดหลังโดนระเบิด ขึ้นไปปะทะความเย็นในชั้นบรรยากาศ เลยกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ แต่เมื่อตกลงมา เจอฝุ่นควัน สกปรกในอากาศเข้าเลยกลายเป็น ฝนดำ) ดูแล้วสลด....



ละครได้จำลองเหตุการณ์หลังระเบิดของชาวบ้านคนหนึ่ง โดนแรงระเบิดบ้านพังลงมาเลย ทับคนทั้งครอบครัว (บ้านญี่ปุ่นสมัยก่อน ประกอบด้วยไม้เป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้ยึดติดกันแน่น เพียงใช้สลักไม้ เพื่อให้เกิดความพลิ้วเมื่อเกิดแผ่นดินไหว แต่มันจะพังลงมาง่ายมากถ้าได้รับแรงสะเทือนมากๆ) เธอและสามี ดิ้นรนจนออกมานอกกองปรักหักพังของบ้านได้ แต่ที่ทำให้เธอรู้สึกเสียใจมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะเธอไม่สามารถช่วยลูกๆ ของเธอออกมาได้ เธอได้ยินลูกร้องว่า ร้อน เจ็บมาก พ่อจ๋า แม่จ๋า ช่วยด้วย เสียงร้องไห้จ้า แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่นั่งฟังลูกร้องจนเงียบสียงไป เพราะเธอและสามีบาดเจ็บ ไม่มีแรงจะยกซากพวกนั้นเพียงลำพัง เธอได้ไปไหว้ซากอนุสรณ์สถานแห่งนี้ทุกปี ร้องไห้ขอโทษลูกๆๆของเธอ ปีนี้ก็เช่นกัน สามีของเธอได้เสียชีวิตไปเมื่อห้าปีที่แล้ว ...สลดอีกแล้ว


วันนี้ก็บันทึกด้วยความสลด อาลัยให้ผู้ที่เสียชีวิตในสงครามโลกทุกท่าน ก็แล้วกันนะ....

ขอบคุณครับ

ปรีดา ลิ้มนนทกุล
mobile : 089-3263248
email : preeda.limnontakul@gmail.com
update : Aug 2, 2007


























ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เชิญแสดงความคิดเห็น ให้กับเจ้าของบทความด้วยนะครับ